วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การสร้างทัศนคติ เพื่อการเรียนรู้ที่ยั่งยืน

สอนสร้างทัศนคติ เพื่อการเรียนรู้ที่ยั่งยืน

กระบวนการเรียนรู้ที่สามารถบ่มเพาะความเชื่อและทัศนคติทีดีมีความสำคัญมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเนื้อหาทางวิชาการ เพราะการเรียนรู้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความรู้ แต่เป็นกระบวนการที่ผลระยะยาวเกี่ยวข้องทั้งพฤติกรรมและทัศนคติด้วย การสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเชื่อว่าจะทำให้บุคคลมีฉันทะซึ่งส่งผลให้พวกเขามีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมถึงแนวโน้มที่จะประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงต่างๆ ต่อไป ความเข้าใจใน Bloom’s Taxonomy เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็น Cognitive Domain แต่เพียงอย่างเดียวนั้นจึงยังไม่เพียงพอ เพราะการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ซับซ้อน จำเป็นที่จะต้องออกแบบการสอนโดยมองไปถึงการพัฒนาทั้งด้านการคิด (Cognitive) การเคลื่อนไหว (Psychomotor) และด้านอารมณ์/คุณค่า (Affective) อย่างเชื่อมโยงกัน ไม่แยกส่วน โดยให้ธรรมชาติของการเรียนรู้ทั้งสามมิตินี้ส่งเสริมกันและกัน (synergy)
ในทางจิตวิทยา ทัศนคติเป็นส่วนหนึ่งของความจำเป็นขั้นพื้นฐานด้านจิตวิทยาในการทำสิ่งหนึ่งๆ เช่น บุคคลมีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะรู้ หรือความต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดบ้าง และทัศนคติส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ หลายคนอาจชินกับสิ่งที่เรียกว่า “จิตพิสัย” ซึ่งในแง่ของเป้าหมายการเรียนรู้ จิตพิสัยคือส่วนที่เป็นการเรียนรู้ด้าน Affective ตารางข้างล่างนี้แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
Affective-attitude
ตาราง แสดงตัวอย่างของพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้าน Affective และเกี่ยวข้องกับทัศนคติ
ปรับจากคู่มือวัดผลประเมินผลวิทยาศาสตร์, 2555 และ วิจารณ์ พานิช, 2556
ขอยกตัวอย่างในกรณีของการเรียนรู้ฟิสิกส์ ทัศนคติต่อการเรียนรู้ฟิสิกส์ไม่ใช่หมายความเพียงการมีความรู้สึกในทางบวกกับเนื้อหาวิชาแต่ต้องรวมไปถึงความรู้สึกชื่นชมในการคิดแบบนักฟิสิกส์ คุณค่าของฟิสิกส์ เช่น ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับศาสตร์อื่นๆ ได้ การประยุกต์ใช้ฟิสิกส์กับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาด้วยความรู้ทางฟิสิกส์ เป็นต้น
ในแง่ของทัศนคติกับการเรียนรู้ มีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินทัศนคติของผู้เรียน เพื่อศึกษาว่านอกจากเนื้อหาทางวิชาการที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนแล้ว กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้บ่มเพาะความเชื่อและความรู้สึกของผู้เรียนอย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น Colorado Learning Attitudes about Science Survey (CLASS) ซึ่งวัดว่าผู้เรียนรับรู้ มีความรู้สึก และความเชื่อต่อการเรียนวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง โดยมีการปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของหลากหลายสาระวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นต้น ตัวอย่างข้อคำถามที่วัด เช่น การมองปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การทำความเข้าในหัวข้อต่างๆ ของฟิสิกส์แบบเชื่อมโยงหรือแยกส่วน วิธีการเรียนที่เน้นการจดจำข้อมูลและเนื้อหาเพื่อที่จะนำมาใช้โดยไม่ได้ฝึกคิดวิเคราะห์ (ทัศนคติแบบผู้เรียนแรกเริ่ม (novice)  การมองว่าฟิสิกส์คือความเชื่อมโยงระหว่างหลักคิดต่างๆ ที่ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ การเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ (ทัศนคติแบบผู้เชี่ยวชาญ (expert)) เป็นต้น (สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Adams, W. K., et al., “Design and Validation of the Colorado Learning Attitudes about Science Survey”, ใน http://cosmos.colorado.edu/phet/ survey/CLASS/
assessment
ในส่วนของการวิจัยที่ศึกษาเรื่องทัศนคติกับการเรียนรู้มักจะเป็นการวัดผลจากคะแนนทดสอบและทัศนคติการเรียนรู้ซึ่งวัดก่อนเรียน-หลังเรียน ว่ามีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันกับวิธีการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ หรือศึกษาทัศนคติการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อทำนายถึงสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน (วัดจากเกรดเฉลี่ย) โดยที่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่การอธิบายในความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ในส่วนของผลการศึกษานั้น ผลการวิจัยในแต่ละบริบทก็ให้ข้อค้นพบที่แตกต่างกัน เช่น ทัศนคติต่อวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสัมฤทธิ์ผลในการเรียนวิทยาศาสตร์ (Perkins, K. K., et al, 2005) ขณะที่ บางงานวิจัยค้นพบว่าแม้ในห้องเรียนที่ปรับการเรียนการสอนให้เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกมากขึ้น เช่น มีอภิปรายกลุ่มย่อย และพยายามใช้วิธีการประเมินที่ช่วยแก้ไขความเข้าใจในแนวคิดที่ผิด (misconceptions) แต่หลังจากสิ้นสุดภาคเรียน ผู้เรียนกลับมีความเชื่อและทัศนคติต่อฟิสิกส์แบบผู้เรียนแรกเริ่มมากกว่าก่อนเรียน (Zeilik, M., Schau, C., & Mattern, N., 1998) หรือมีทัศนคติการเรียนรู้ต่อฟิสิกส์ที่ไม่ได้มีในทางบวกเพิ่มขึ้นเลย แม้คะแนนการทดสอบของนักเรียนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในความเข้าใจในแนวคิดหลักของฟิสิกส์มากขึ้นก็ตาม (Redish, E. F., Saul, J. M., & Steinberg, R. N., 1998)
การสร้างบรรยากาศให้เกิดการบ่มเพาะหล่อหลอมความคิดความเชื่อนี้ อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของหลักสูตร แต่เป็นเสมือน hidden curriculum ที่ส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมาก เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยให้การพัฒนาความรู้และทัศนคติเกิด synergy ไปด้วยกัน ตัวอย่างเทคนิคที่ผู้สอนสามารถใช้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของวิชาหนึ่งๆ เช่น
  • เชื่อมโยงเนื้อหาสาระให้เข้ากับความสนใจของผู้เรียน ชี้ให้เห็นว่าการเรียนวิชานั้นในตอนนั้น เชื่อมโยงกับความสนใจของผู้เรียนอย่างไร ซึ่งการจะจูงใจผู้เรียนในยุคปัจจุบันได้ ผู้สอนต้อง update ข้อมูลพอสมควรว่า trend ของสังคมเป็นไปอย่างไร
  • งานที่ทำต้องสอดคล้องกับโลกแห่งชีวิตจริง เช่น ทำโครงงานหรือกรณีศึกษาที่เป็นเรื่องจริง หรือจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบ work integrated learning
  • แสดงความสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อผู้เรียนสงสัยว่าเรียนวิชานั้นๆ ไปทำไม และยังไม่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่ตนต้องการเรียน ผู้สอนต้องพยายามหาตัวอย่างและนำเสนอเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น (Simplification) ว่าคุณค่าของการเรียนวิชาพื้นฐานช่วยในการเรียนวิชาเฉพาะทางของตนอย่างไร เป็นต้น
  • ระบุความคาดหมายของผู้สอนให้ชัดเจนว่าผู้เรียนต้องเรียนให้รู้อะไร (บางที Course syllabus ของวิชาอาจยังไม่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้มากพอ) ที่สำคัญคือว่าวิชานั้นๆ มีประโยชน์อย่างไร ต้องทำอะไรได้ ในระดับความซับซ้อนเพียงใด โดยช่วยแนะแนวขั้นตอนการเรียนรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเผชิญคืออะไรบ้าง เหล่านี้คือการช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เรียนว่าสิ่งที่เรียนอยู่นั้นมีความหมายกับพวกเขาอย่างไร และพวกเขาสามารถทำให้สำเร็จได้
การชี้แนะเหล่านี้ควรทำในหลายๆ ช่องทาง เช่น เขียนถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างชัดเจนใน course syllabus (ดูตัวอย่างของการเขียนคำอธิบายรายวิชาที่เน้น learning goals ที่ http://www.colorado.edu/sei/departments /physicslearning.htm)  รวมถึงการแจ้งวิธีการประเมิน สิ่งที่จะประเมิน หากสามารถอธิบายองค์ประกอบและระดับของความรู้ความสามารถนั้นๆ เป็น Rubrics ได้ จะเป็นการดี
  • มอบหมายงานที่ค่อนข้างง่ายก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยาก เช่น โครงงานขนาดเล็ก ใช้เวลาสั้นในการทำ และสัดส่วนคะแนนไม่มาก ก่อนที่จะยกระดับความซับซ้อนของงานที่ต้องการทั้งการใช้ความรู้และทักษะระดับสูงขึ้น
  • เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกกิจกรรม เลือกเรื่องทำโครงงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียนและเป็นการควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียนไปด้วยในตัว
ที่สุดแล้ว เพื่อที่จะให้เกิดบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดทัศนคตินั้น ผู้สอนต้องประเมินผลผู้เรียนเป็นระยะ        ซึงการประเมินทัศนคติของผู้เรียนสามารถทำได้หลายวิธีการนอกจากการทำแบบสำรวจซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินผลทางอ้อม (Indirect) ควรลองทำการบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรม การให้แก้โจทย์ปัญหาหรือมอบหมายงานที่แฝงให้ผู้เรียนแสดงออกถึงทัศนคติ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสะท้อนความคิด (Reflection) เหล่านี้เมื่อใช้เสริมแรงกันและสอดแทรกให้อยู่ในกระบวนการเรียนการสอน (ไม่จำเป็นต้องแยกส่วนออกมาเพื่ออบรมบ่มเพาะทัศนคติกันโดยเฉพาะ) และเมื่อผู้เรียนแสดงให้เห็นว่าทำได้ดีในเรื่องนั้นๆ ก็ควรแสดงออกถึงความชื่นชม หรือใช้เทคนิคการให้รางวัลแก่ผู้เรียน ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยสร้างเสริมทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้

เรื่อง หลากถ้อยร้อยคำ

จุดประสงค์การเรียนรู้ 
      1. นักเรียนจับใจความสำคัญของเรื่องได้ 
      2. นักเรียนสรุปเรื่องย่อได้ 
      3. นักเรียนพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวละครและเหตุการณ์อย่างสมเหตุสมผล 
      4. นักเรียนอธิบายความหมายของคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา และนำคำไปแต่งประโยคและเรื่องราวได้ 
      5. นักเรียนวาดภาพประกอบได้สอดคล้องเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง 
สาระการเรียนรู้ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา 
กิจกรรมการเรียนรู้ กระบวนการเรียนการสอนแบบนิรนัย 
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 
      1. ครูเล่านิทานเรื่องยายเช้าปากกว้าง โดยใช้หุ่นมือหรือรูปภาพตัวละครประกอบ นักเรียนช่วยกันสรุปใจความสำคัญหรือเล่าเรื่องย่อ 
2. นักเรียนพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวละครและเหตุการณ์ 
3. นักเรียนช่วยกันแยกคำดังนี้ 
            - คำชื่อตัวละคร (คน สัตว์) สถานที่ สิ่งของ 
            - คำแสดงการกระทำของตัวละคร 
            - คำแทนชื่อตัวละคร สถานที่ สิ่งของ 
4. นักเรียนนำบัตรคำนาม คำสรรพนามและคำกริยาไปติดข้างบนชื่อตัวละคร คำแสดงการกระทำของตัวละคร คำแทนชื่อตัวละครตามลำดับ 
5. นักเรียนช่วยกันอภิปรายความหมายของคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา 
ขั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 
      1. นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างคำนาม คำสรรพนามและคำกริยาที่นักเรียนรู้จักจากสื่อและประสบการณ์ 
      2. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการใช้คำนาม คำสรรพนามและคำกริยา 
      3. ครูและนักเรียนสรุปความหมายของการใช้คำนาม คำสรรพนามและคำกริยา 
      4. แบ่งกลุ่มนักเรียนตามความเหมาะสม นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน 
ขั้นสรุปหรือตรวจสอบ 
      1. สุ่มนักเรียนนำเสนอผลงาน 
      2. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงาน แนะนำข้อบกพร่อง ปรับปรุงผลงาน 
      3. สรุปบทเรียน 
สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 
      1. นิทานเรื่องยายเช้าปากกว้าง 
      2. หุ่นมือหรือรูปภาพตัวละคร 
      3. ใบงาน 
      4. แบบบันทึกพฤติกรรมนักเรียน 
การวัดผลและประเมินผล 
      1. สังเกตจากการร่วมกิจกรรม เช่น 
       - การแสดงความคิดเห็น 
       - ความสนใจ 
       - การมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม 
      2. ตรวจผลงาน 
ข้อเสนอแนะ 
      1. ก่อนครูจะศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ ควรศึกษาแผนภาพความคิดเรื่อง หลากถ้อยร้อยคำ 
      2. ครูสามารถเปลี่ยนนิทานเป็นสื่ออื่น ๆ ที่สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ได้ 
      3. การเล่านิทานครูอาจหาอาสาสมัครเล่าแทนครูก็ได้ 

ใบงาน

คำชี้แจง นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกประธานและเลขานุการกลุ่ม แล้วช่วยกันปฏิบัติกิจกรรมที่ 1-3 เสร็จแล้วคัดเลือกผู้แทนกลุ่ม เพื่อนำเสนอผลงาน 
กิจกรรมที่ 1 
      นักเรียนนำคำนาม คำสรรพนาม และคำกริยามาแต่งประโยคชนิดละ 2 ประโยค 
กิจกรรมที่ 2 
      นักเรียนนำคำนาม คำสรรพนามและคำกริยามาแต่งนิทานหรือบทสนทนาตามจินตนาการจัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก วาดภาพประกอบพร้อมทั้งระบายสีให้สวยงาม 
กิจกรรมที่ 3 
      นักเรียนเขียนคำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนรู้จักในนิทานเรื่องยายเช้าปากกว้างเป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด และนำคำศัพท์เหล่านั้นไปแต่งประโยค 5 ประโยค 

นิทานเรื่องยายเช้าปากกว้าง

            ยายเช้าปากกว้างชอบหัวเราะโดยไม่ปิดปากอยู่เสมอ วันหนึ่งขณะที่แกกำลังหัวเราะ ตั๊กแตนตัวหนึ่งบินเข้าไปในปากของแก มันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก ยายเช้าตกใจมากรีบไปปรึกษาเพื่อนชื่อยายสาย ยายสายแนะนำให้ยายเช้ากลืนนกเข้าไป นกจะได้จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนจะได้ตาย ยายเช้าทำตามคำแนะนำของเพื่อน แต่นกไม่จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนก็ไม่ตาย ทั้งนกและตั๊กแตน พากันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก ยายเช้าตะโกนบอกยายสายว่า "ยายสายฉันทำตามที่เธอบอกแล้วแต่นกและตั๊กแตนไม่ตาย ทำอย่างไรดีล่ะ" "กลืนแมวอีกตัวซิ มันจะได้กัดนก นกจะได้จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนจะได้ตาย" ยายสายแนะนำ ยายเช้ารีบทำตาม แต่แมวก็ไม่กัดนก นกไม่จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนก็ไม่ตาย ทั้งแมว นก และตั๊กแตน ดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก อยู่ในท้องของยายเช้า.. 

      จากแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง หลากถ้อยร้อยคำ ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด ด้งนี้ 
      1. ให้นักเรียนยกตัวอย่าง คำนาม คำสรรพนาม และคำกริยา เป็นการฝึกทักษะการคิด การสำรวจ การแยกแยะ และการจัดหมวดหมู่
      2. ให้นักเรียนอภิปรายการใช้คำนาม คำสรรพนาม และคำกริยา เป็นการฝึกให้ผู้เรียนใช้ทักษะการคิด การอภิปราย
      3. ให้นักเรียนช่วยกันสรุปความหมายของการใช้คำนาม คำสรรพนามและคำกริยา เป็นการฝึกทักษะการคิด การสรุป การให้คำจำกัดความ
      4. แบ่งหล่มนักเรียนให้นำคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา มาแต่งเป็นประโยค เป็นการฝึกทักษะการคิด การเรียบเรียง การจัดลำดับ การเชื่อมโยง
      5. ให้นำคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา มาแต่งนิทานหรือบทสนทนาตามจินตนาการ และจัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก เป็นการฝึกทักษะการคิด การจินตนาการ การเรียบเรียง การปฏิบัติงาน
      6. ให้นักเรียนเขียนคำศัพท์จากนิทานเรื่องยายเช้าปากกว้างเป็นภาษาอังกฤษ และแต่งประโยคด้วย เป็นการฝึกทักษะการคิด การสำรวจ การแยกแยะและการเชื่อมโยง 

      บทบาทของครู 
      1. เป็นผู้จัดการเรียนรู้ 
      2. เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียน 
      3. เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิด 
      4. เป็นผู้จัดลำดับกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิด 
      5. เป็นผู้ตรวจสอบและประเมินความสามารถในการคิดของผู้เรียน 
      บทบาทของผู้เรียน 
      1. มีความกระตือรือร้นในการเรียน 
      2. ทำกิจกรรมที่ครูผู้สอนจัดไว้ให้ด้วยความสนใจและตั้งใจ 
      3. ศึกษา ค้นคว้า ด้วยตนเอง ระดมสมอง ร่วมคิด ร่วมทำ ให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียน 
      4. ใช้ทักษะการคิด ลักษะการคิดและกระบวนการคิดที่เหมาะสม 
      5. ร่วมตรวจสอบและประเมินความสามารถในการคิดของตนเองและเพื่อนร่วมชั้น 
      ดังนั้น ครูผู้สอนจะต้องเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้พร้อม จะต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และจัดกิจกรรมตามลำดับจากทักษะการคิดขั้นพื้นฐานไปจนถึงทักษะการคิดขั้นสูง หรือลักษณะการคิด กระบวนการคิด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาที่จะสอน วัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น การสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดจึงใช้ได้กับทุกวิชา และกับผู้เรียนทุกวัย ขึ้นอยู่ที่การจัดกิจกรรมที่เหมาะสม 

การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด

การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด


      การใช้ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต ผู้ที่มีความคิดเฉียบแหลม ทันสมัย ไม่เหมือนใคร คิดได้ก่อนใครจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและประสบผลสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

            ความคิดของมนุษย์เป็นผลที่เกิดจากกลไกของสมองซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเป็นไปตามธรรมชาติ ผลของการใช้ความคิดจะแสดงให้เห็นในลักษณะของการสรุปเป็นความคิดรวบยอด การจำแนกความแตกต่าง การจัดกลุ่ม การจัดระบบการแปลความหมายของข้อมูล รวมทั้งการสรุปอ้างอิง การเชื่อมโยงสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับข้อมูลที่ได้มา อาจเป็นความจริงที่สัมผัสได้ หรือเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่อาจสัมผัสได้ ดังนั้น สมองจึงควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและคุณภาพของสมองมิได้อยู่ที่การมีสมองเท่านั้น แต่อยู่ที่การใช้สมองเป็นสำคัญ การฝึกทักษะกระบวนการคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เยาวชนควรได้รับ การพัฒนาเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

            แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กล่าวถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นฝึกฝนทักษะสำคัญ คือ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
      การจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็นทำเป็น ใฝ่เรียนใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงเป็นภาระงานที่สำคัญยิ่ง และมีคุณค่าต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคของการปฏิรูปการเรียนรู้


      การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด
      การคิด หมายถึง พฤติกรรมภายในที่เกิดจากกระบวนการทำงานของสมอง ในการรวบรวมจัดระบบข้อมูลและประสบการณ์ต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นรูปร่างหรือมโนภาพที่เป็นเรื่องราวขึ้นในใจและสื่อสารออกมาโดยใช้คำพูดหรือแสดงออก

      แนวคิด

      1. การคิดและการสอนคิดเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในการจัดการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพสูง ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้มีการศึกษาเรื่องของการพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพทุกด้าน ทั้งด้านสติปัญญา คุณธรรม และความเป็นพลเมืองดีของประเทศโดยเน้นการฝึกการคิดและกระบวนการคิด
      2. การคิดเป็นกระบวนการทางปัญญาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่มีขอบเขตจำกัด การคิดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
                  2.1 การคิดอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย (Associative Thinking) เป็นการคิดแบบไม่ตั้งใจหรือมีจุดมุ่งหมายการคิด มีลักษณะคิดไปเรื่อย ๆ การคิดเช่นนี้มักไม่มีผลสรุป และไม่สามารถนำผลของการคิดไปใช้ประโยชน์
                  2.2 การคิดอย่างมีจุดหมาย (Directed Thinking) เป็นการคิดเพื่อหาคำตอบ เพื่อแก้ปัญหา หรือนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายโดยตรง สามารถนำผลของการคิดไปใช้ประโยชน์
      3. การสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมายช่วยให้ผู้เรียนตัดสินใจหรือแก้ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพ และเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเจริญก้าวหน้า สภาพสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนไป เป็นสังคมแห่งการพัฒนาข่าวสารข้อมูล
      4. ความสามารถในการคิด ส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนภายในสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยเริ่มจากความสามารถพื้นฐานในการคิดที่เรียกว่า ทักษะการคิด แล้วเพิ่มความซับซ้อนขึ้นโดยการฝึกลักษณะการคิดและกระบวนการคิดตามลำดับ


      กรอบความคิดของการคิด ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดของ ทิศนา แขมณี และคณะ (2540) ได้แบ่งประเภทของการคิดเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

      กลุ่มที่ 1 ทักษะการคิด หรือทักษะการคิดพื้นฐานที่มีขั้นตอนการคิดไม่ซับซ้อน เป็นทักษะพื้นฐานของการคิดขั้นสูง หรือระดับสูงที่มีขั้นตอนซับซ้อน แสดงออกถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่ต้องใช้ความคิด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน และทักษะการคิดขั้นสูง ดังนี้
            1. ทักษะการคิดพื้นฐาน ประกอบด้วย
                  1.1 ทักษะการสื่อความหมาย หมายถึง ทักษะการรับสารที่แสดงถึงความคิดของผู้อื่นเข้ามาเพื่อรับรู้ ตีความแล้วจดจำ และเมื่อต้องการที่จะระลึก เพื่อนำมาเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดของตนให้แก่ผู้อื่น โดยแปลความคิดในรูปของภาษาต่าง ๆ ทั้งที่เป็นข้อความ คำพูด ศิลปะ ดนตรี คณิตศาสตร์ ฯลฯ เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอภิปราย ทักษะการทำให้กระจ่าง เป็นต้น
                  1.2 ทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไป หมายถึง ทักษะการคิดที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการสำรวจ ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะการระบุ ทักษะการจำแนก ทักษะการเปรียบเทียบ เป็นต้น
            2. ทักษะการคิดขั้นสูงหรือทักษะการคิดที่ซับซ้อน หมายถึง ทักษะการคิดที่มีขั้นตอนหลายขั้น และต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมาย และทักษะการคิดที่เป็นแกนหลาย ๆ ทักษะในแต่ละขั้น เช่น ทักษะการสรุปความ ทักษะการให้คำจำกัดความ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการผสมผสานข้อมูล ทักษะการจัดระบบความคิด ทักษะการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทักษะการตั้งสมมุติฐาน เป็นต้น


      กลุ่มที่ 2 ลักษณะการคิด หรือการคิดขั้นกลาง/ระดับกลาง มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อนมากกว่าการคิดในกลุ่มที่ 1 การคิดในกลุ่มนี้เป็นพื้นฐานของการคิดระดับสูง ซึ่งลักษณะการคิดแต่ละลักษณะต้องอาศัยทักษะการคิดขั้นพื้นฐานมากบ้างน้อยบ้างในการคิดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
            1. ลักษณะการคิดทั่วไปที่จำเป็น ได้แก่ การคิดคล่อง การคิดละเอียด การคิดหลากหลาย การคิดชัดเจน
            2. ลักษณะการคิดที่เป็นแกนสำคัญ ได้แก่ การคิดถูกทาง การคิดไกล การคิดกว้าง การคิดอย่างมีเหตุผล      การคิดลึกซึ้ง


      กลุ่มที่ 3 กระบวนการคิด หรือการคิดระดับสูง มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อนและต้องอาศัยทักษะการคิด และลักษณะการคิดเป็นพื้นฐานในการคิด กระบวนการคิดมีอยู่หลายกระบวนการ เช่น กระบวนการคิดแก้ปัญหา กระบวนการคิดตัดสินใจ กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
<น้ำเงิน>      แนวการวัดความสามารถด้านการคิดจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้


      ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการคิด 

      ในสถานการณ์การเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เรื่อง การประกอบอาชีพ ครูได้สอนถึงอาชีพต่าง ๆ ในท้องถิ่น ประโยชน์และความสำคัญของอาชีพต่าง ๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ของการประกอบอาชีพต่อการเจริญของสังคมที่อาศัยอยู่โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ต่อไปนี้

      ครูนำภาพของอาชีพต่าง ๆ ในชุมชนมาให้นักเรียนเรียนรู้แล้วสนทนากับนักเรียนดังนี้
 ในภาพนี้มีอาชีพอะไรบ้าง
 นักเรียนคิดว่านอกจากอาชีพในภาพที่ครูนำมาให้ดู ยังมีอาชีพอะไรอีกบ้าง
 อาชีพแต่ละอาชีพมีความสำคัญอย่างไร
 ถ้าให้นักเรียนเลือกประกอบอาชีพจะเลือกอาชีพอะไร
 ถ้าประชาชนทุกคนในชุมชนมีอาชีพ มีรายได้จะมีผลต่อประเทศชาติอย่างไร
 ถ้าให้เลือกประกอบอาชีพที่สุจริต รายได้น้อย กับการค้าของผิดกฎหมายซึ่งมี
รายได้ดี นักเรียนจะเลือกอาชีพอะไร
      

      ทักษะ/ลักษณะการคิด
การสังเกต
การทำให้กระจ่าง
การอธิบาย
การระบุ
การคิดไกล
การคิดถูกทาง
การคิดอย่างมีเหตุผล

      
      พฤติกรรมที่วัดได้
 นักเรียนบอกได้ว่ามีอาชีพอะไรบ้าง
 นักเรียนบอกอาชีพต่าง ๆ นอกเหนือจากในภาพ
 นักเรียนบอกความสำคัญของแต่ละอาชีพได้
 นักเรียนบอกอาชีพที่ตนชอบได้
 นักเรียนบอกถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
 นักเรียนเลือกอาชีพสุจริต และให้เหตุผลในการเลือกได้


      จากตัวอย่าง ถ้านักเรียนสามารถแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ตามที่ครูเตรียมคำถามหรือคำสั่งได้ แสดงว่านักเรียนมีทักษะการคิด ลักษณะการคิดด้านนั้น ๆ แล้ว หลังจากได้รับการฝึกให้คิดในลักษณะนั้น ๆ มาแล้ว (กรมวิชาการ, 2542)

      

      



วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

8 เคล็ดเด็ดไม่ลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

1. อ่านหน้าสรุปก่อน
อ่านตอนจบก่อนเลย ผู้เขียนหนังสือส่วนใหญ่ชอบเขียนให้ดูลึกลับ ชักแม่น้ำทั้งห้า เขียนอธิบายอย่างละเอียดยิบ ใช้ประโยคที่ต้องอ่านซ้ำสองสามรอบถึงจะเข้าใจ โดยเฉพาะในหน้าแรก ๆ ของบท เราไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติชีวิตของผู้เขียน บทนำ ซึ่งจะเป็นการเขียนเกริ่นแนะนำให้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่
ในทางกลับกัน บทส่งท้าย หรือบทสรุป เป็นสิ่งที่ต้องอ่าน โดยปกติแล้วจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนสรุปข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวมา อีกทั้ง หากเราอ่านบทสรุปก่อน แล้วกลับมาอ่านหน้าแรกอีกครั้งก็ทำให้เราสามารถอ่านได้เข้าใจมากขึ้น แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก่อนเพื่อไปเรียนในคาบถัดไป การอ่านส่วนบทสรุปก็ทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆของเนื้อหาที่ต้องเรียนแล้ว
2. ใช้ปากกาไฮไลต์เพื่อนเน้นใจความสำคัญ
ข้อผิดพลาดที่หลายคนทำ คือการเลิกไฮไลต์ เนื่องจากครูผู้สอนกล่าวถึงแทบทุกอย่างในหน้าหนังสือ เลยไฮไลต์ตาม ปรากฏว่าไฮไลต์ไปหมดทั้งหน้า ซึ่งกลายเป็นการกระทำที่ไม่เกิดประโยชน์ไป จึงขี้เกียจไฮไลต์อีก และเลิกทำไปในที่สุด
ความจริงแล้ว การไฮไลต์ข้อความนั้นมีประโยชน์มาก “หากใช้อย่างถูกวิธี” ไม่ควรไฮไลต์ทุกอย่างในหน้า และไม่ควรไฮไลต์น้อยจนเกินไป สิ่งที่ควรทำคือการไฮไลต์ข้อความที่ผู้เขียนกล่าวสรุป โดยปกติแล้วผู้เขียนมักจะกล่าวประเด็นซ้ำไปมาหลายหน้าและให้ข้อมูลสรุปประเด็นที่ย่อหน้าสุดท้าย ให้ไฮไลต์บริเวณนั้น เมื่อเราเปิดหนังสือมาอ่านอีกครั้ง เราจะสามารถทราบทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว
3. ดูสารบรรณและหัวข้อย่อย
นักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยมักประหลาดใจเมื่อทราบข้อนี้ว่า อาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้อ่านหนังสือจนจบเล่ม แต่สิ่งที่พวกท่านทำนั้น คือการดูสารบรรณและอ่านหัวข้อที่น่าสนใจหรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำเท่านั้น หรือไม่ก็ใช้วิธีการ อ่านผ่านๆอย่างรวดเร็ว (skimming) จนเมื่อเจอหัวข้อที่น่าสนใจจึงค่อยหยุดอ่านอย่างตั้งใจ ทำให้การอ่านั้นไม่น่าเบื่อ เพราะว่าเราจะได้อ่านสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ เท่านั้น
และยังทำให้เรารู้ใจความสำคัญของสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้อยู่ดี เพราะผู้เขียนมักจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญซ้ำ ๆ ในทุกส่วนของหนังสือ เทคนิคนี้ช่วยป้องกันอาการ “ตามองอ่านตัวหนังสือทุกบรรทัด แต่ใจความไม่เข้าหัวเลย” อ่านออกแต่สมองไม่ตอบรับว่าสิ่งที่อ่านไปนั้นคืออะไร เพราะเกิดจากการอ่านสิ่งที่เราไม่อยากอ่านนั่นเอง
 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

4. ขวนขวายกันสักนิด
แทนที่จะซึมซับทุกอย่างจากการอ่านหนังสือที่อาจารย์สั่งเท่านั้น ลองเปิดโลกใหม่ดูบ้าง หาหนังสือเล่มอื่นๆ ในห้องสมุด หรือในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะไปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาอ่านดู ซึ่งหนังสือบางเล่มพูดถึงเล่มเดียวกันแต่เขียนได้น่าอ่าน อ่านเข้าใจง่าย มีภาพประกอบเพิ่ม สรุปแบบอ่านแล้วเข้าใจ ซึ่งจริง ๆ เนื้อหาก็เรื่องเดียวกับที่เรียนในห้อง
แต่ขึ้นชื่อว่าหนังสือเรียนก็รู้ๆ กันอยู่อ่านไปหลับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นการหาความรู้ข้างนอกมาเสริมจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ง่าย และเข้าใจมากขึ้น บางทีอาจรู้ลึกกว่าที่เรียนในคาบเสียอีกนะ หนังสือประวัติศาสตร์ไทย ที่มีอยู่ในห้องสมุดอาจจะอ่านแล้วสนุกน่าอ่านกว่าหนังสือที่ใช้เรียนอยู่ก็ได้ การอ่านไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สนุกได้โดยอัตโนมัติ หากเราไม่มองหาสิ่งที่เราอยากอ่านจริง ๆ เสียก่อน การอ่านจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเราไป
5. พยายามอย่าอ่านทุกคำ
หลายคนคิดว่าการอ่านทุกคำจะช่วยให้จดจำข้อมูลได้อย่างละเอียดยิบ ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมองจะได้รับข้อมูลมากเกินไปและเกิดความล้า เบื่อหน่ายจนตาลอยอ่านหนังสือไม่เข้าหัวในที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในประเภทนิยายมักจะถูกเขียนอธิบายซ้ำ ๆ เพราะผู้เขียนต้องการจะกล่าวอธิบายให้กระจ่าง แต่ใจความสำคัญจริง ๆ แล้วอยู่ที่บทสรุปเพียงไม่กี่ย่อหน้า หนังสือส่วนใหญ่ใส่ข้อมูลหลักฐานจนแน่นมากกว่าจะกล่าวถึงประเด็น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีและน่าสนใจ แต่ทุกหลักฐานที่อ้างนั้นก็กล่าวถึงประเด็นเดียว การอ่านเพิ่มเติมก็เป็นการย้ำถึงประเด็นเดิม ดังนั้นเลือกหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดแล้วอ่านบทต่อไปเถอะ
แม้แต่หนังสือประเภทนวนิยายก็อาจทำให้เราเบื่อได้เช่นกัน ในบางตอนที่ผู้เขียนอธิบายฉากอย่างละเอียดยิบ ให้ใช้วิธีการอ่านผ่าน ๆ (skimming) จนกว่าจะเจอฉากที่น่าสนใจและอ่านอย่างตั้งใจอีกครั้ง การทำเช่นนี้อาจจะทำให้พลาดส่วนสำคัญบางอย่างไป แต่ก็ทำให้เราอ่านต่อไปได้มาก ดีกว่าเบื่อและหยุดอ่านไป
6. เขียนสรุปมุมมองของผู้อ่าน
อดทนหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อ! คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเขียน แต่การเขียนนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลสำคัญในระยะเวลาอันสั้น หากเป็นไปได้ให้เขียนใจความสำคัญในแบบฉบับของเราใน 1 หน้ากระดาษ โดยพูดถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างสั้น ๆ และคำถามหรือความรู้สึกของเราที่ต้องการการค้นคว้าเพื่อหาคำตอบต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
การเขียนมุมมองของผู้อ่านเช่นนี้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทราบถึงประเด็นสำคัญของหนังสือเช่นเดียวกับการไฮไลต์ข้อความ เมื่อใกล้ถึงช่วงสอบ จะเป็นการง่ายกว่าที่เราจะนั่งอ่านมุมมองสรุปของผู้อ่าน แทนที่จะพลิกตำราอ่านหนังสือทั้งเล่มเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง หากเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เราสามารถอ่านรีวิวหนังสือจากผู้อ่านคนอื่น ๆ ในเว็บไซต์ เช่น Amazon เป็นการเสริมข้อมูลในมุมมองของผู้อ่านท่านอื่น ๆ ที่ได้รับจากหนังสือเล่มนั้นเช่นกัน
เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

7. อภิปรายกับผู้อื่น
คนส่วนมากไม่ชอบการทำงานกลุ่ม แต่การจับกลุ่มกันพูดถึงเนื้้อหาของหนังสือที่ต้องอ่านข่วยทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น บางครั้งอาจพูดถึงหนังสือในแง่ตลก ๆ ก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้เมื่อเราอยู่ในห้องสอบ เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน เป็นการใช้หลักการเชื่อมโยงข้อมูลที่ทำให้สมองของเราทำงานได้ง่ายขึ้น
การพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านช่วยทำให้เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากบางส่วนที่เรามองข้ามไป บางคนนั้นชอบเรียนรู้โดยการฟัง และมักจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ยินข้อมูล ดังนั้นการพูดคุยสนทนาถกเถียงประเด็นที่อยู่ในหนังสือจะทำให้เราจำประเด็นสำคัญนั้นได้ดีเมื่อได้ฟังผ่านหู ทำให้เราสามารถระลึกถึงข้อมูลส่วนนั้นได้เมื่ออยู่ในการสอบ
8. จดคำถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน
หัวใจหลักของเทคนิคนี้ คือการตั้งคำถาม อย่าเชื่อว่าผู้เขียนนั้นเขียนได้ถูกต้องซะทีเดียว ให้จดจ่อกับสิ่งที่อาจและใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ในการอ่าน เช่น
  • ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวเช่นนั้น?
  • หลักฐานคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือ?
  • ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนอย่างไร?
  • ผู้เขียนต้องการสื่อข้อความนี้ให้แก่ใคร?
คำถามอาจซับซ้อนกว่านี้หรือง่ายกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหนังสือที่อ่าน เคล็ดลับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราอ่านหนังสือและจดจำได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าอาจจะมีวิธีที่หลากหลายกว่านี้ แต่ละวิธีก็อาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิธีไหน
กล่าวโดยสรุปก็คือ เราต้องกระตือรือร้นในการอ่าน ค้นหาสิ่งที่อยากอ่าน และทุ่มเทสักหน่อย และจดจำประเด็นสำคัญ หากทำได้เช่นนี้รับรองว่าหนังสือร้อยหน้าก็อ่านจบได้ในเวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองจ้ะ

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557


                                                                                 ครูดี
การเป็นครูที่ดีมีหลักการ ดังนี้
   1.ครูต้องเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ    เป็นการสร้างไมตรีโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไร แต่ได้ผลอย่างมากมายได้ความมีมิตรไมตรี ผู้เรียนจะมีขวัญกำลังใจที่ดี
   2.มีความยุติธรรมและวินัย ครูต้องยุติธรรมต่อลูกศิษย์  ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชัง
   3.ต้องเฉลียวฉลาดรู้เรื่องวิชาการเป็นอย่างดี ครู คือ กูรู(ผู้รู้) รู้ในที่นี้ยังหมายถึงจะต้องทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีได้อย่างถาวร โดยอาศัยการเน้นย้ำ ให้ความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อแก่ศิษย์
   4.ต้องมีความเมตตากรุณา และอดทน เด็กทุกคนแตกต่างกันในภูมิหลังของ ครอบครัว การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ ฐานะทางการเงิน ฯลฯ ในความแตกต่างเหล่านี้ครู ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น เพื่อพัฒนาให้เด็กมีความเจริญงอกงาม ทั้งกาย วาจา ใจ
   5.สร้างตัวอย่างที่ดี ดังคำที่ว่า ครูคือ แม่พิมพ์ของชาติ”  ครูต้องเป็นตัวอย่างที่อยู่ในใจของเด็ก เป็นแบบอย่างที่ดีในทุก ๆ ด้านให้เด็กยึดถือ, ปฏิบัติ
   6.เข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของมนุษย์ทุกคนในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล ครูต้องเข้าใจว่าความแตกต่างไม่ใช่ ความแตกแยก หน้าที่ครูต้องชี้ให้เห็นถึงแนวคิด เพื่อผู้เรียนจะได้วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีในชีวิตของเขา  ครูต้องยอมรับในความสามารถของลูกศิษย์ทุกคนแต่ละคนที่มีอยู่รู้จักชมเชยและให้กำลังใจ
   7.พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากลำบากใจ ครูต้องเป็น Coach  ที่ดี เป็นผู้ให้คำชี้แนะสั่งสอน เมื่อลูกศิษย์ หรือแม้กระทั่งบุคคลอื่นที่มีปัญหา ทั้งนี้เพราะครูคือผู้รู้ ผู้ซึ่งบุคคลทั่วไปให้การยอมรับนับถือ
 
   8.อย่ายอมแพ้จงเชื่อมั่นในทุกสิ่ง ต้องเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเราเอง และความสามารถในตัวของบุคคลอื่น บางที่เราต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับบุคคลอื่น เมื่อเราแก้ปัญหาไม่ได้ จะต้องมีคนที่แก้ได้ เพราะปัญหาทุกอย่างมีทางแก้เสมอ
   9.ให้รางวัลเป็นสิ่งจูงใจ และให้คำชมสม่ำเสมอ ถูกแล้ว ดีมาก เยี่ยม ครูต้องคอยให้กำลังใจลูกศิษย์ แต่ละคำชมที่ออกมาอย่างจริงใจ จะเป็นพลังอันมหาศาลต่อศิษย์

ครูที่ดีต้องมี ๓ สุ
๑. สุวิชาโน มีความรู้ดี
๒. สุสาสโน สอนดี มีเทคนิค ตั้งใจสอน
๓. สุปฏิปันโน มีความประพฤติดี

ครูดีต้องมี ๔ เต็ม
๑. สอนให้เต็มหลักสูตร
๒. สอนให้เต็มเวลา
๓. สอนด้วยความเต็มใจ
๔. สอนเต็มความสามารถ



ลักษณะของครูที่ไม่ควรกระทำ
๑. ครูมาสาย คติประจำใจ คือ  สอนน้อยหน่อย สายมากหน่อย อร่อยกำลังเหมาะ
๒. ครูค้าขาย คติประจำใจ คือ ครูที่มีความเพียร ต้องทำโรงเรียนให้เป็นตลาด ครูที่มีความสามารถ ต้องทำตลาดให้เป็นโรงเรียน
๓. ครูคุณนาย คติประจำใจ คือ  อยู่อย่างคุณนาย สบายทุกอย่าง หนทางสะดวก พรรคมากมี
๔. ครูสุราบาล คติประจำใจ ศุกร์เมา เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จันทร์เกียจคร้าน อังคารหยุด พุธลา พฤหัสมาก้มหน้าไม่สู้คน
๕. ครูเกียจคร้าน คติประจำใจ สอนมั่ง ไม่สอนมั่ง สตางค์เท่าเดิม
๖. ครูหัวโบราณ คติประจำใจ  คิดเป็นก็คิดไป แก้ปัญหาเป็นก็แก้ปัญหาไป แต่ฉันจะสอนอย่างไร ใครอย่ามายุ่งกับฉัน
๗. ครูปากม้า คติประจำใจ  นินทาวันละมาก ๆ ปากผ่องใส
๘. ครูหน้าใหญ่ คติประจำใจ ใหญ่ที่โรงเรียน ไปเป็นเสมียนที่อำเภอ เห่อเจ้านายได้สองขั้น
๙.ครูไร้อาย  ทำงานไม่เกี่ยงงอน สอนเต็มหลักสูตรอย่างเคร่งครัด